ทับทิม
เถายางน่อง

ชื่ออื่น ๆ : พิผะดุ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), เถายางน่อง (ตราด)

ชื่อสามัญ : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Anodendron manubriatum Merr.

วงศ์ : APOCYNACEAE

ลักษณะทั่วไป :

ต้น : เป็นพรรณไม้เถาขนาดใหญ่ ลำต้นนั้นจะเป็นร่อง และมีน้ำยางมาก แต่ลำต้นจะไม่มีขน

ใบ : จะมีลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ตรงปลายใบของมันจะเป็นติ่งมน ส่วนโคนใบนั้นจะแหลม หรือมน ขอบใบจะม้วนเล็กน้อย มีเส้นใบประมาณ 11-15 คู่ มองเห็นได้ชัดและใบจะมีความกว้างประมาณ 3.5-6.5 ซม. ยาวประมาณ 8-16 ซม. ส่วนก้านใบยาวประมาณ 8-15 มม.

ดอก : จะออกเป็นช่อตามง่ามใบ และยอด ช่อจะมีความยาวประมาณ 8-16 ซม. จะแตกออกครั้งละ 3 กิ่ง ดอกนั้นเล็กเป็นสีขาว หรือขาวอมเหลือง ส่วนกลีบรองกลีบดอกนั้นจะมีประมาณ 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปยาวแคบ ตรงปลายจะมนและมีความยาวประมาณ 3 มม. ด้านในจะมีขนเป็นสีขาว

เกสร : เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน และจะติดอยู่ด้านในของท่อดอก มีก้านเกสรสั้นมาก ส่วนท่อเกสรตัวเมียนั้นจะเรียวและเล็ก ตรงปลายเกสรตัวเมียจะมีลักษณะเป็นรูปไข่

เมล็ด (ผล) : ผลจะออกเป็นฝัก ฝักนั้นจะมีความยาวประมาณ 8-15 ซม. เมื่อผลแก่จัดจะแตกออก เป็น 2 ซีก ภายในจะมีเมล็ดเป็นจำนวนน้อย

การขยายพันธุ์ : พรรณไม้นี้มักจะขึ้นในป่าดงดิบ ป่าละเมาะ และป่าไผ่ พบว่ามีทางภาคเหนือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงภาคใต้

ส่วนที่ใช้ : ราก และเมล็ด ใช้เป็นยา

สรรพคุณ : ราก ใช้เป็นยาขับเหงื่อ และทำให้อาเจียน เมล็ด ใช้เป็นยาอาบหัวลูกศรยิงสัตว์ และยังพบว่าเมล็ดนี้มี cardiac glycoside ที่เป็นพิษ

หมายเหตุ :

พจนานุกรม สมุนไพรไทย ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม

ทองพันชั่ง
ทองกวาว
ท้อ
ทรงบาดาล
เถาเอ็นอ่อน
เถาย่านาง
เถาสิงโต
เถาวัลย์ปูน
เถายางน่อง
 

นางสาว อรอุมา บุญสิว ชั้นม.4/5 เลขที่ 42