ทับทิม | ท้อ
![]() ชื่ออื่น ๆ : หุงหม่น, หุงคอบ (เชียงใหม่), มักม่วน, มักม่น (ภาคเหนือ), มะฟุ้ง (ชาน), ท้อ (จีน-แต้จิ๋ว) ชื่อสามัญ : Nectarine, peach ชื่อวิทยาศาสตร์ : Prunus persica Batsch. วงศ์ : ROSACEAE
ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ผลัดใบ มีขนาดสูงประมาณ 8 เมตร ลักษณะลำต้นและกิ่งอ่อนจะมีผิว เปลือกเกลี้ยงไม่มีขน เป็นสีน้ำตาลแดง หรือสีเขียวอ่อน ใบ : มีลักษณะเป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลมเรียว ริมขอบใบจักตื้นเล็กน้อย ขนาดของใบกว้างประมาณ 1-1.2 นิ้ว ยาวประมาณ 3-6 นิ้ว และความยาวของก้านใบประมาณ 7-12 มม. ดอก : ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวตามบริเวณกิ่ง ลักษณะของดอกมีกลีบเป็นสีชมพูอ่อน ดอกหนึ่ง มี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปมนรีที่โคนดอกมีกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกออกเป็น 5 แฉก มีสีแดง ผิวนอกกลีบมีขน ตรงกลางดอกมีเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมีย เป็นเส้นฝอยจำนวนมาก ขนาดของดอกเมื่อบานเต็มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 นิ้ว ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปมนรี ปลายแหลม เปลือกนอกของผลมีสีเขียวออกเหลือง ๆ และมีขนสั้น ๆ นิ่มปกคลุม ภายในผลมีเมล็ด อยู่ 1 เม็ด มีลักษณะเป็นรูปมนรี คล้าย ๆ กับรูปหัวใจ เปลือกเมล็ดแข็ง มีร่องลึก การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นได้ดีในบริเวณที่ที่มีอากาศเย็นชื้น มีการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้ เมล็ด ส่วนที่ใช้ : ใบ ดอก ก้านอ่อน ผลสุก เมล็ด เปลือกราก ราก และยางจากลำต้น สรรพคุณ : 1. ราก เปลือกรากหรือต้น ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม แล้วนำไปต้มกิน หรือใช้สำหรับภายนอก โดยต้มเอาน้ำชะล้าง ราก เปลือกรากหรือต้นนั้น จะมีรสขม ใช้รักษาโรคดีซ่านและตาเหลือง โดยใช้รากหั่นเป็นฝอย ต้มกินตอนอุ่น ๆ ขณะที่ท้องว่าง ใช้รักษาเยื่อหุ้มกระดูกอักเสบ ใช้รากอ่อนสีขาว ผสมน้ำตาลแดงพอประมาณ แล้วตำพอกตามบริเวณที่เจ็บ นอกจากนี้ยังเป็นยารักษาประจำเดือนไม่ปรกติ ปวดข้อแผลบวม อาเจียนเป็นเลือด กระอักเลือด เป็นแผลมีหนองเรื้อรัง และโรคริดสีดวงทวาร 2. ใบ ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม นำไปต้มน้ำกินหรือใช้สำหรับภายนอก โดยการตำพอก และต้มเอาน้ำชะล้างใบ 3. ดอก ใช้แห้งประมาณ 3-6 กรัม นำไปต้มน้ำกินหรือใช้บดเป็นผงผสมกิน ใช้สำหรับภายนอก โดยการตำพอก หรือบดให้ละเอียดเป็นผงทา ดอกนั้นจะมีรสขม ใช้รักษาอาการท้องผูก ให้ใช้ดอกต้มน้ำกินบ่อย ๆ แทนน้ำชาได้ บรรเทาอาการปวดเอวและสะโพก ใช้ดอก รากเข็ก และข้าวสาร ต้มรวมกันให้สุก เอากากออก แล้วกินวันละ 3 เวลา โรคกระเพาะปัสสาวะ ขาบวมน้ำ ปวดเอว และไตมีน้ำคั่ง ใช้ดอกตากให้แห้ง ในที่ร่ม แล้วนำไปบดเป็นผงผสมกับเหล้าอุ่นกินครั้งเดียวหมด เป็นแผลหัวล้าน ใช้ดอกที่ตูมตากให้แห้งในที่ร่ม กับผลหม่อน บดเป็นผงใส่ไขมันหมูแล้วผสมให้เข้ากัน ใช้น้ำขี้เถ้าชะล้างตามบริเวณที่เป็นก่อน แล้วจึงเอายาที่เตรียมไว้ ใช้ทาบริเวณที่เป็น รักษาอาการปวดแน่นหน้าอก ตามบริเวณหัวใจ ให้ใช้ดอกที่แห้งแล้วบดเป็นผงกิน เป็นแผลผื่นคันที่ขา ให้ใช้ดอกผสมกับเกลือ แล้วบดเป็นผงผสมกับน้ำส้มสายชูพอก เป็นโรคพรรดึก ที่มีก้อนอุจจาระแห้งอุดลำไส้อยู่ หรือถ่ายไม่ออก ให้ใช้ดอกสดประมาณ 30 และลูกต๋าวประมาณ 90 กรัม นำไปต้มให้สุก แล้วกินตอนท้องว่าง 2 เวลา เช้าและหลังเที่ยง ท้องลั่นโครกครากแล้วถ่ายของเสียออกมา ในดอกนั้นจะมีสาร 4. ก้านอ่อน ใช้สดประมาณ 30-60 กรัม นำไปต้มน้ำกิน ใช้สำหรับภายนอก โดยการต้มเอาน้ำอมบ้วนปาก หรือชะล้าง ก้านอ่อนนั้นจะมีรสขม ใช้รักษาอาการปวดตามบริเวณหน้าอก และหัวใจ ใช้ก้านหั่นแล้วแช่กับเหล้า แล้วต้มให้เหลือครึ่งชามแล้วตุ๋นกิน ใช้รักษาแผลในช่องปาก ให้ใช้ก้านสดเคี้ยวอมไว้ แล้วจึงบ้วนทิ้ง 5. ผลสุก ใช้กิน เป็นผลไม้ จะมีรสเปรี้ยว ชุ่ม ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ขับสิ่งคั่งค้าง และช่วยหล่อลื่นในลำไส้ ในผลสุกประมาณ 100 กรัมนั้น จะมีสารพวก คาร์โบไฮเดรต ประมาณ 7 กรัม โปรตีนประมาณ 0.8 กรัม ไขมันประมาณ 0.1 กรัม แคลเซียมประมาณ 8 มก. เหล็กประมาณ 1 มก. ฟอสฟอรัสประมาณ 20 มก. วิตามินประมาณ 6 มก. กรดนิโคตินิคประมาณ 0.7 มก. แคโรทีนราว ๆ 0.01 มก. และไทยอามีนประมาณ 0.01 มก. นอกจากสารนี้แล้วยังพบว่ามีน้ำมันระเหย กรดอินทรีย์ ที่มีตัวหลักคือ กรดซิตริค และกรดมาลิค ส่วนในพวกน้ำตาลนั้นได้แก่ fructose, glucose, xylose, sucrose เป็นต้น 6. เมล็ด ใช้แห้งประมาณ 5-10 กรัมหรือจะทำเป็นยาเม็ดหรือยาผงกินก็ได้ ใช้สำหรับภายนอกโดยการตำพอก 7. ยางจากต้น ใช้แห้งประมาณ 5-10 กรัม นำไปต้มกินหรือทำเป็นยาเม็ด หรือยาผงกิน ยางจากต้นนั้นจะมีรสขมชุ่ม ข้อห้ามใช้ : 1. สารพิษพวกไซยาไนด์ จะมีอยู่ในใบ ดอก ผลดิบและเมล็ด ห้ามกินสดฉะนั้นก่อนที่ จะนำมากินต้องนำไปต้ม หรือดองก่อน จึงจะใช้กินได้ 2. ใบ ดอก เมล็ด ราก เปลือกราก หรือต้น ห้ามหญิงที่มีครรภ์นำไปกิน อาจเป็นอันตรายได้ ข้อมูลทางเภสัชวิทยา : ในเมล็ดจะมีกลัยโคซัยด์อะมิคดาลิน (amygdalin) ถ้ากินเข้าไปแล้ว จะถูกย่อยได้ กรดไฮโดรไซยานิค (hydrocyanic acid) และเบนซัลดีไฮด์ (benzal dehyde) กรดไฮโดรไซยานิคเป็นสารพวกไซยาไนด์ เป็นสารพิษที่ร้ายแรงมาก ขนาดที่ทำให้ตายได้คือ 0.05 กรัม ส่วนสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากเมล็ดนั้น หมายเหตุ : พจนานุกรม สมุนไพรไทย ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม |
---|---|
ทองพันชั่ง | |
ทองกวาว | |
ท้อ | |
ทรงบาดาล | |
เถาเอ็นอ่อน | |
เถาย่านาง | |
เถาสิงโต | |
เถาวัลย์ปูน | |
เถายางน่อง | |
นางสาว อรอุมา บุญสิว ชั้นม.4/5 เลขที่ 42 |
---|